FAR CRY 4 : บทสรุปเควส Introduction


อาเจย์…ลูกรัก แม่มีคำขอสุดท้ายที่อยากให้ลูกทำ... พาแม่กลับไปยังลักมานา...

“อ่า…คุณเกลครับ – ผมคือเชนต์ ปีเตอร์สัน โทรมาจากอเมริกานะ” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น “ผมเป็นรัฐทูตที่ปัฎนา – ผมกำลังตามเรื่องวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวที่ประเทศอินเดีย เพื่อที่จะเดินทางต่อไปคีราท ทางเราสามารถให้สถานะคุณเป็นพลเมืองสหรัฐอเมริกาและก็จะไม่มีข้อมูลเกี่ยวข้องกับสัญชาติคีราท นอกจากนี้ผมยังต้องแนะนำคุณเกี่ยวกับการเดินทางเข้าไปในคีราท เราไม่มีบทบาททางการทูตอย่างเป็นทางการที่นั่น เนื่องจากความไม่สงบของโกลเด้นท์พาท…”

อาเจย์ กาเลย์ ชายหนุ่มผู้ที่ต้องเดินทางมาจากอเมริกาเพื่อกลับมายังประเทศ “คีราท” ที่เป็นบ้านเกิดของเขา เพื่อทำตามคำขอครั้งสุดท้ายของผู้เป็นแม่ที่เสียชีวิตลง โดยที่ตัวอาเจย์เองก็ยังไม่รู้เลยว่า ลักมานาที่แม่พูดถึงนี่คืออิหยัง? เป็นชื่อวัด สถานที่ หรืออะไรกันแน่...?

ซึ่งตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนรถเมล์โดยสารบุโรทั้งเก่าๆคันหนึ่งที่กำลังขับผ่านหุบเขาทางตอนเหนือของคีราท สภาพภายในรถเมล์เต็มไปด้วยกรงสัตว์ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เบารถเมล์ผุขาดที่ผ่านการปะชุนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แถมผู้คนยังนั่งโดยสารเต็มรถเมล์แบบแน่นขนัด ยังไม่นับลิงที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเขาอีกหนึ่งตัว


เสียงของเชนต์ยังคงพูดแบบต่อเนื่องขึ้นในหัวของชายหนุ่มเหมือนเทปที่ถูกกรอให้ฟังซ้ำไปมา เขากำลังครุ่นคิดถึงคำแนะนำของรัฐทูตเกี่ยวกับการเดินทางเข้าไปในคีราท “และในเรื่องที่เกี่ยวกับความตั้งใจของคุณที่จะนำเถ้าของ “อิชวารี เกล” คุณต้องนำพาสปอร์ตของผู้ตายไปด้วย…” เมื่อครุ่นคิดถึงคำพูดของเชนต์ถึงตรงนี้ อาเจย์ก็ยกโถมีฝาขนาดย่อมๆสีเงินขึ้นมา ที่ด้านหนึ่งมีตัวอักษรสลักไว้บนตัวโถว่า

Ishiwari Ghale

1968 – 2014

ชายหนุ่มใช้มือปัดผงฝุ่นออกจากตัวโถอย่างบรรจง และนำโถใส่เก็บเข้ากระเป๋าเสื้อตามเดิม หางตาของเขาก็ไปสะดุดกับมือคู่หนึ่งที่ประสานต่ำอยู่ทางด้านซ้ายของเขา “เฮ้!!” เจ้าของมือร้อง


และเมื่ออาเจย์เงยหน้าไป เขาก็พบเข้ากับชายแก่คนหนึ่ง ซึ่งชายคนนี้มีลักษณะใบหน้าที่ดูดุ ผมสีเทาบ่งบอกว่าเขามีอายุมากแล้ว เคราที่ไว้ยาวถูกถักเป็นเปียเส้นเล็กอยู่ใต้คาง ชายแก่สวมเสื้อหนังแขนยาวสีน้ำตาล และมีผ้าพันคอสีส้มสดพาดไว้ที่รอบคอของเขา ชายผู้นี้มีชื่อว่า “ดาแพน” เป็นไกด์ท้องถิ่นที่อาเจย์จ้างมา เพื่อให้พาเขาไปยังลักษณ์มานาได้อย่างถูกต้อง

“เอาพาสปอร์ตมานี่” ดาแพนกล่าวพร้อมกวักมือให้อาเจย์ เขาจึงก้มดูพาสปอร์ตสีน้ำเงินในมือเขาและส่งให้กับดาแพนอย่างว่าง่าย

เมื่อดาแพนรับพาสปอร์ตไป เขาก็เลือกที่จะเปิดพาสปอร์ตหน้ากลาง ชายแก่เหล่ตาไปมองที่อาเจย์ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหยิบธนบัตรใบหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงและหันมาโชว์ให้อาเจย์ดู ดาแพนเสียบธนบัตรใบนั้นเข้าไปในพาสปอร์ตและโน้มตัว ยื่นมันส่งคืนสู่ชายหนุ่ม ซึ่งระหว่างที่ยื่นมืออกไปรอให้อาเจย์รับพาสปอร์ตคืน เขาได้กวักมือเข้าหาตัวเองเร็วๆและบอกกับอาเจย์ว่า “ใจเย็นๆ” ดาแพนขยับมือที่ถือพาสปอร์ตส่งให้อาเจย์ขึ้นอีกครั้ง อาเจย์จึงรีบหยิบพาสปอร์ตกลับ ชายแก่ได้พูดกับอาเจย์อีกว่า “เดี๋ยวฉันจะคุยให้”

อาเจย์ก้มลงมองพาสปอร์ตของเขาที่บัดนี้มีธนบัตรเสียบอยู่ เขาหยักไหล่ครั้งหนึ่งโดยที่ไม่พูดอะไร ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและทอดสายตาไปยังวิวทิวทัศน์ที่อยู่นอกรถเมล์ ซึ่งก็ยังคงมีแต่เพิงเก่าๆและต้นไม้ที่ผลัดใบเป็นสีแดงแล้วอยู่เต็มไปหมด ไม่นานนัก คนขับรถก็ตะโกนมาว่าขอพาสปอร์ต

ชายแก่ได้บอกกับอาเจย์ด้วยว่าให้ใจเย็นๆทำตัวตามสบาย เดี๋ยวเขาจะคุยกับด่านตรวจให้เอง ในขณะที่เขากำลังนั่งรถอย่างเพลินๆ รถเมล์ก็ได้มาถึงยังด่านตรวจและถูกทหารเรียกให้จอด คนขับรถก็ได้เรียกขอพาสปอร์ตจากผู้โดยสาร ซึ่งชายหนุ่มก็ได้เก็บรวบรวมและส่งยื่นให้ การเจรจาระหว่างคนขับดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างติดขัด ซึ่งชายหนุ่มเองก็ฟังไม่ออกเหมือนกันว่าเขาเถียงกันเรื่องอะไร เมื่อหันกลับไปอีกที


อาเจย์กลับรู้สึกได้ว่ามีเฮลิค๊อปเตอร์ลำหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ และเมื่อหันไปดูคนขับที่กำลังเจรจาอยู่ พาสปอร์ตนี่กำลังโดนปัดกระจายเลย ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องก็เกิดการใช้กำลังขึ้นทันที คนของโกลเด้นท์พาทที่แฝงตัวอยู่บนรถเมล์รีบวิ่งลงไปเปิดงานแจกกระสุนที่ด้านล่าง และความซวยก็มาเยือนอาเจย์เมื่อหัวหน้าของกลุ่มทหารสั่งให้ลูกน้องยิงผู้โดยสารบนรถ อาเจย์ก้มหลบลูกปืนแทบไม่ทัน นั่งรถเมล์แถมลูกปืนนี่ พบได้ในคีราทเท่านั้น

อาเจย์ถูกดาแพนไล่ให้คลานออกจากตัวรถเมล์ และเมื่อเสียงปืนเงียบลง เขากลับพบว่าเฮลิค๊อปเตอร์ที่เขาเห็นไกลๆนั้น บัดนี้ได้ลงจอดที่ตรงหน้าเขาแล้ว


ผู้ชายคนหนึ่งลงมาจาก ฮ. เขาแสงสีหน้าและท่าทางไม่พอใจทันทีที่ได้เห็นสภาพตรงหน้า และเริ่มเข้ามาพูดคุยเชิงตำหนิกับหัวหน้าของกลุ่มทหาร ว่า “ไอ้ที่ชั้นสั่งนี่ให้หยุดรถ ไม่ใช่ยิงรถไม่ใช่เหรอ?” เขาอธิบาย “ใช่…ให้หยุดรถ ไม่ได้ให้ยิงรถ… ฉันว่าฉันย้ำไปตั้งหลายหนแล้วนะ หยุด…ยิง…หยุด…ยิง ไอ้สองคำนี้ มันเหมือนกันตรงไหนรึ?” ชายหนุ่มคนนั้นกระแทกเสียงเรียบเป็นคำถามแก่ลูกน้อง

“…แต่มันควบคุมไม่ได้ครับ” พอสิ้นคำตอบ ชายคนนั้นก็ใช้มือซ้ายของเขาจับไปที่หัวไหล่ของลูกน้องที่ตอบคำถาม และบอกว่า “ขอโทษที ไม่ได้ยิน เมื่อกี้พูดอะไรนะ?” โดยที่มือขวาของเขาล้วงไปด้านในเสื้อโค๊ตของตัวเองเพื่อหาของบางอย่าง

“มันควบคุมไม่ได้ครับ…” ลูกน้องคนนั้นตอบคำถามอีกทีด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก และเมื่อพูดจบ เจ้านายของเขาก็ชักมือขวาออกมาพอดี สิ่งที่อยู่ในมือของเขามันคือปากกาด้ามหนึ่ง เขาใช้ปากกาด้ามนั้นชี้ไปที่ลูกน้องของตัวเอง “อ๋อ…ควบคุมไม่ได้รึ…?” เขาเบนหน้าหนีไปทางอื่น “กูเกลียดทุกอย่างที่ควบคุมไม่ได้ที่สุดเลย”


แน่นอนว่าเป็นลูกน้องชั้นผู้น้อยแก้ตัวอะไรก็ไม่ขึ้น ชายผู้นั้นเลยลงโทษในความผิดพลาดด้วยการจ้วงแทงลูกน้องด้วยปากกาจนตายทันที เขาทรุดลงนั่ง และเริ่มสบถเกี่ยวกับรองเท้าของเขาที่มันเปื้อนเลือด และเมื่อสังเกตเห็นอาเจย์ เขาก็แสดงท่าทางดีใจและโผเข้ากอดในทันที ชายผู้นั้นอธิบายด้วยใบหน้าอาบเลือดว่าเขาขอโทษจริงๆ การพบกันของเรามันไม่น่าเละเทะแบบนี้เลย ก่อนที่จะขอถ่ายรูปเซลฟี่เป็นที่ระลึก (แต่ระทึกขวัญสำหรับอาเจย์) และจับอาเจย์สวมไอ้โม่งคลุมหัวเพื่อพาไปยังที่ไหนสักแห่ง…


บทความเก่าของปี 2015 พอร์ตมาจากเว็บ Dek - D และปรับปรุงใหม่เมื่อปี 2018

ความคิดเห็น

Recommend